วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อสอบ กว. ข้อ 31-38

ข้อ31 ข้อใดไม่ใช่จุดประสงค์ของการทำ Prime coat
1.    ป้องกันน้ำและเชื่อมยึดหินส่วนผิวของพื้นทาง
2.    เพิ่มความแข็งแรงให้พื้นทาง
3.    เชื่อมยึดระหว่างพื้นทางและชั้นผิวทาง
         4.    ป้องกันผิวของพื้นทางไม่ให้หลุดล่อน
แนวคิด    เพราะการทำ Prime Coat มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ปกป้องชั้นพื้นทางจากสภาพอากาศที่เปียกชื้น
2) ปรับปรุงคุณภาพที่ผิวหน้าของชั้นพื้นทาง
3) ช่วยเพิ่มการยึดเกาะระหว่างชั้นพื้นทางและผิวทาง
 จะเห็นได้ว่า Prime coat ไม่ได้มีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้พื้นทางแต่อย่างใด
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ32  ถ้าต้องการ
         1.) กันน้ำที่จะซึมผ่านผิวทางลงไป
         2.) ช่วยให้การเกาะกันของเม็ดหินและผิวทางดีขึ้น
         3.) ช่วยให้ผิวทางแน่นเรียบและแข็งแรงขึ้น
         4.) เพิ่มความหนาของผิวทางและเพิ่มความแข็งแรงให้ถนน
ควรจะทำในข้อใด
1.    Prime Coat
2.    Tack Coat
3.    Seal Coat
4.    Fog Seal
แนวคิด  ซีลโคท (Seal Coat) หมายถึง การราดยางแอสฟัลต์ชนิดเหลว (Liquid Asphalt) หรือยางแอสฟัลต์ซีเมนต์ (Asphalt Cement) บนผิวทางราดยางเก่าในงานบำรุงผิวทาง ตามชนิด เกรด อุณหภูมิ ปริมาณ เครื่องจักร เครื่องมือที่กำหนดให้เพื่อปิดรอยแตกร้าวซึ่งเป็นช่องว่าง ป้องกันการซึมผ่านของน้ำผิวทางลงไปยังชั้นล่างของถนนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ถนนเสียหาย แล้วสาดทับด้วยวัสดุชนิดเม็ดบดอัดแน่นด้วยรถบดล้อยาง แล้วตามด้วยรถบดล้อเหล็ก
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ33 โดยปกติผิวทางชนิดใดมีราคาถูกที่สุด
1.    Rigid Pavement
2.    Double Surface Treatment
3.    Asphalt Concrete
4.    Cape Seal
แนวคิด    ผิวทางแบบ Cape Seal หมายถึง การก่อสร้างผิวทางสองชั้น ประกอบด้วยผิวทางชั้นแรกเป็นผิวทางแบบเซอร์เฟสทรีตเมนต์ชั้นเดียว (SINGLE SURFACE TREATMENT) แล้วปูทับด้วยสเลอรีซีล (SLURRY SEAL) ลงบนผิวทาง หรือผิวไหล่ทางดังกล่าวอีกหนึ่งหรือสองชั้น ผิวทางชนิดนี้ใช้ทำเป็นผิวไหล่ทางได้ด้วย 
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ34 เครื่องจักรกล ชนิดใดที่เหมาะสมที่สุด ในงานขุดตักและขนย้ายดินซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเครื่องจักร
1.    Backhoe
2.    Power Shovel
3.    Dragline
4.    Clamshell
แนวคิด    บุ้งกี๋ขุดตัดแบบหอยกาบ หรือแคลมเชลล์ (Clamshell)  ลักษณะบุ้งกี๋ประกอบด้วยกาบ 2 ข้างยึดที่ปลายข้างหนึ่งเป็นจุดหมุนมีน้ำหนักถ่วงให้เปิดอ้าออกเมื่อไม่มีแรงดึงในสายปิด เหมาะสำหรับงานขุดดินในแนวดิ่ง หรือขนถ่ายวัสดุไปยังถังพักหรือสายพานลำเลียง การเลือกใช้แคลมเชลล์ก็เช่นเดียวกับแดรกไลน์คือ พิจารณาน้ำหนักของบุ้งกี๋รวมกับน้ำหนักดินที่ขุดได้ไม่ควรเกิน 75 % ของ Boom Capacity โดยวิศวกรต้องขอรายละเอียดจากบริษัทผู้ผลิตเพื่อประกอบการพิจารณา
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ35 ค่าระดับของหมุดระดับ (BM) ในการตรวจสอบแบบวงรอบปิด อนุญาตให้ผิดพลาดได้ไม่เกินเท่าไร
1.   6*k^(1/2)
2.   8*k^(1/2)
3.   12*k^(1/2)
4.   16*k^(1/2)
แนวคิด    คำตอบ 2 เกณฑ์ชั้นงานระดับตามมาตรฐาน FGCC (1984)
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ36 วัสดุประเภทหินลอย (Boulder) ที่ถือว่าเป็นหินแข็ง (Hard Rock) จะต้องมีขนาดไม่น้อยกว่าเท่าใด
1.    0.25  ลบ.ม.
2.    0.50  ลบ.ม.
3.    0.75  ลบ.ม.
4.    1.00  ลบ.ม.
แนวคิด    หินแข็ง  (Hard Rock) หมายถึง วัสดุที่ถูกขุดตัดเป็นหินแข็งซึ่งต้องใช้วิธีการเจาะระเบิด (Drilling & Blasting) หรือ วัสดุเป็นประเภทก้อนหินใหญ่ (Boulder) ซึ่งมีขนาดก้อนละตั้งแต่ 0.75 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
----------------------------------------------------------------------- 
ข้อ37 การบดอัดชั้นโครงสร้างทางโดยทั่วไป จะตรวจสอบความหนาแน่นของงานในสนามโดยวิธีใด
1.    Pychometer
2.    Volumemeter
3.    Balloon
4.    Sand Cone
แนวคิด    การหาน้ำหนักของดินในบริเวณที่บดอัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หารด้วยปริมาตรของหลุมที่ขุดดินออกมา และการที่จะหาปริมาตรของหลุมที่กล่าวนี้ จำเป็นจะต้องวัดหรือใช้วัสดุที่รู้ความหนาแน่น (Density) และความถ่วงจำเพาะแน่นอนแล้วไปแทนที่ในหลุมที่ขุดดินขึ้นมา ซึ่งการทดสอบดังกล่าวอาจกระทำได้โดยวิธีใช้ทรายมาตรฐาน (Sand Cone Method)
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ38 เครื่องจักรในข้อใดที่เหมาะสำหรับใช้ในการบดอัดดินที่มีลักษณะเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย
1.    Smooth Wheeled Roller
2.    Tamping Roller
3.    Vibratory Roller
4.    Vibratory Plate
แนวคิด    ทำการบดอัดแต่ละชั้นโดยใช้ Sheepfoot Roller หรือ Tamping Roller เพื่อให้เกิด Shear key ระหว่าง ดินแต่ละชั้น จะมีผลทำให้สามารถ รับแรงดัน ทางด้านข้าง กรณีเป็น คันดิน ที่ใช้สำหรับป้องกันน้ำท่วม หรือ รับแรงผลักตามยาว ได้มากขึ้นกรณีเป็นถนน จำนวนเที่ยวของ การบดอัดว่า รถควรจะวิ่งกี่เที่ยว จึงจะได้ ความแน่นตามต้องการนั้น จะได้ จากการทดลองทำ Test section ก่อนเริ่มลงมือทำงานว่า จะต้องวิ่งกี่เที่ยว จะต้องเพิ่มน้ำตอน เช้า - สาย - บ่าย - เย็น เท่าใดจึงจะ บดอัดดิน เพื่อให้ได้ ความแน่นตามต้องการ
-----------------------------------------------------------------------

ข้อสอบ กว. ข้อ 21-30

ข้อ21 Right of Way  หมายถึงอะไร
1.    เขตทางหลวง
2.    เขตหวงห้าม
3.    เขตแนวบริเวณก่อสร้างทาง
4.    เขตการจราจร
แนวคิด  Right of Way หมายถึง แนวเขตที่ดินเพื่อการเวนคืน ที่รู้จักกันดีในประเทศไทยก็คือ เวนคืนเพื่อการสร้างถนน สำหรับ Right of way ยังหมายถึง สิทธิในเขตทาง การขอใช้สิทธิในการปักเสา ตั้งเสา พาดสาย หรือวางท่อในกิจการโทรคมนาคม ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรวมถึงแนวเวนคืนเพื่อการวางท่อแก๊ส หรือโครงการสาธารณูปโภคอื่นๆ 
----------------------------------------------------------------------- 
ข้อ22 ในการก่อสร้างทางใหม่เราจะพ่นยางลงบนพื้นหินคลุก (Base Coarse) ก่อนทำผิวทางการพ่นยางนั้นเรียกว่าอะไร
       1.    Tack Coat
       2.    Binder Coat
       3.    Seal Coat
       4.    Prime Coat
แนวคิด    ข้อ 18.
----------------------------------------------------------------------- 
ข้อ23 การปู Asphalt Concrete ลงบนผิวทางเก่าเราเรียกว่าอะไร
1.    Fog Seal
2.    Overlay
3.    Seal Coat
4.    Prime Coat
แนวคิด    ข้อ 15. 
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ24 การบดอัดดินในสนาม ค่าความชื้นในมวลดิน (Optimum Moisture Content) ยินยอมให้ผิดพลาดได้ไม่เกินเท่าใดของค่าควบคุมการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
          1.    ±1%
          2.    ±3%
          3.    ±5%
          4.    ±7%
แนวคิด    การถมบดอัดดิน (CLAYEY AND SILTY MATERIALS)
       1 การถมและบดอัดดิน ต้องกระทำโดยการใช้เครื่องจักรกล
         2 เครื่องจักรกลที่ใช้บดอัด ต้องเป็นชนิดเดียวกัน และน้ำหนักเท่ากัน
         3 ต้องตรวจสอบความชื้นของดินที่บ่อยืมดิน ( BORROW PITS ) ก่อนนำมาใช้งานถ้าความ
ชื้นเกินเกณฑ์กำหนด (ความชื้นที่จุ OPTIMUM ±3%) ห้ามนำดินนั้นมาใช้งาน
         4 การถม ให้ถมเกลี่ยเป็นชั้น ๆ ในแนวราบ
         5 ความหนาของดิน แต่ละชั้นเมื่อบดอัดได้ที่แล้ว ต้องมีความหนาตามเกณฑ์ต่อไปนี้
             . ถ้าใช้ลูกกลิ้งตีนแกะ ( SHEEPSFOOT ROLLER ) ดินแต่ละชั้นต้องหนาไม่มากกว่า 2/3
ของความยาวของตีนแกะ หรือหนาไม่เกิน 15 เซนติเมตร แล้วแต่กรณีไหนจะน้อยกว่ากัน
             . ถ้าใช้เครื่องกระทุ้งดิน ( POWER TAMPER ) หรือทำการกระทิ้งด้วยแรงคน  ความหนา
ของดินแต่ละชั้นเมื่ออัดแน่นแล้วต้องไม่เกิน 15 เซนติเมตร
         6 ดินถมแต่ละชั้นต้องเกลี่ยให้กระจายสม่ำเสมอ ถ้าดินเป็นก้อนต้องทำให้แตกกระจายและ
แผ่ออกโดยตลอด  
         7 ดินแต่ละชั้นต้องมีความชื้นเท่ากันโดยสม่ำเสมอ
 -----------------------------------------------------------------------
ข้อ25 ยางมะตอยน้ำที่ใช้ทำสเลอลี่ซิล (Slurry Seal) ใช้ยางประเภทใด
          1.    CRS - 1 h
          2.    CMS - 1 h
          3.    CSR - 1 h
          4.    CSS - 1 h
แนวคิด    เพราะ  มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรี่ซีล (SLURRY SEAL) หมายถึง การฉาบผิวทางเดิมหรือทำผิวทาง บนพื้นทางที่ได้ทำการไพรมโคท (PRIME COAT) ไว้แล้ว ด้วยส่วนผสมของมวลรวมที่มีขนาดคละกันดี (WELL GRADED) กับแอสฟัลต์อิมัลชันและน้ำ รวมทั้งวัสดุชนิดละเอียด (MINERAL FILLER) และ วัสดุแอสฟัลต์อิมัลชัน ซึ่งได้แก่ CSS-1 หรือ CSS-1h ต้องมีคุณสมบัติตาม มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 371-2530 : แคตอิออนิกแอสฟัลต์อิมัลชันสำหรับถนน และได้รับ การรับรองมาตรฐาน   ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบคุณภาพ มอก. ISO-9002 หรือ แอสฟัลต์อิมัลชันชนิดอื่น ซึ่งกรมทางหลวงชนบทเห็นชอบแล้ว
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ26 งานตัดหินผุ (Soft Rock Excavation ) ควรใช้เครื่องจักรหนักในข้อใด
          1.    Crawler Tractor
          2.    Farm Tractor
          3.    Motor Grader
          4.    Front End Loader
แนวคิด    เพราะ งานตัดหินผุ หมายถึง งานตัดคันทางโดยวัสดุที่ขุดขึ้นเป็นหินผุ ซึ่งจะพิสูจน์ทราบได้ โดยใช้รถคันดินตีนตะขาบ (Crawler Tractor) พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ใบคราด (Ripper) มีขนาดกำลังเครื่องยนต์ไม่น้อยกว่า 270 แรงม้า อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีโดยมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 28เมตริกตัน จึงจะสามารถขุดออกได้ ส่วนการดำเนินการขุดหินผุหลังจากการพิสูจน์ทราบแล้ว
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ27 งานก่อสร้างผิวทางแบบ Single Surface Treatment ยางน้ำที่ใช้คือยางประเภทใด
          1.    CMS
          2.    CSS-1
          3.    CRS-2
          4.    MC-70
แนวคิด    เพราะ CRS-2 หรือ ชื่อทางเคมี แคตอิออนิคแอสฟัลต์อีมัลชั่น สูตรทางเคมี แอสฟัลต์ในสารละลายที่ประกอบด้วยน้ำ อีมัลซีไฟอิ่งเอเจนต์และกรดไฮโดรคลอริค ประเภทแยกตัวเร็ว การใช้ประโยชน์ยางมะตอยชนิดอิมัลชั่น ใช้ยางชนิดนี้ใช้สำหรับงานพ่นลาดยางเช่น Chip Seal , Tack Coat และSingle Surface Treatment
CRS-2 มีข้อมูลทางกายภาพและเคมี ดังนี้
- จุดเดือด 100 องศาเซลเซียส
- การละลายได้ในน้ำ ผสมน้ำได้
- ความหนาแน่น 1.0 กก. / ลิตร ที่ 25 องศาเซลเซียส
- ลักษณะสีและกลิ่น ของเหลว, มีกลิ่นไฮโดรคาร์บอน
- ความเป็นกรด/ด่าง 2 – 3
- ความหนืด 100 – 400 ที่ 50 องศาเซลเซียส
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ28 การพ่นลาดยางแอลฟัลท์ประเภทที่มีความหนืดต่ำลงบนพื้นทางที่บดอัดแน่นเรียกว่า
          1.    Prime Coat
          2.    Tack Coat
          3.    Seal Coat
          4.    Fog Seal
แนวคิด    เพราะ งานลาดแอสฟัลต์ PRIME COATหมายถึง การลาดแอสฟัลต์ชนิดเหลวลงบนพื้นทางที่บดอัดแน่นที่เตรียมไว้ และได้ตกแต่งปรับปรุงถูกต้องแล้ว เพื่อให้แอสฟัลต์ซึมลงไปในช่องว่างของพื้นทาง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ความชื้นผ่าน และเป็นตัวยึดเหนี่ยวให้พื้นทางเชื่อมต่อกับผิวทาง
-----------------------------------------------------------------------
 ข้อ29 การพ่นยางมะตอยเป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้นผิวทางเดิมและลาดทับด้วยหินขนาด 1/2 นิ้วNo.8 เรียกว่าอะไร
1.    Prime Coat
2.    Tack Coat
3.    Seal Coat
4.    Fog Seal
แนวคิด    เพราะ การฉาบผิวโดยวิธี Seal Coat หมายถึง การฉาบผิวทางเดิมที่แตกหรือสึกหรอโดยการราดยางแอสฟัลต์แล้วปิดทับด้วย Aggregate เพื่ออุดรอยแตกและปรับปรุงผิวทางที่สึกหรอ -----------------------------------------------------------------------
ข้อ30 การพ่นยางมะตอยลงบนผิวทางเก่า (ทั้งผิวทางลาดยางหรือผิวทางคอนกรีต) เพื่อเชื่อมยึดผิวทางเก่ากับผิวทางใหม่เรียกว่าอะไร
1.    Prime Coat
2.    Tack Coat
3.    Seal Coat
4.    Fog Seal
แนวคิด    เพราะ งานลาดแอสฟัลต์ Tack Coat  หมายถึง การลาดแอสฟัลต์ชนิดเหลวลงบนผิวทางเดิม Prime Coat ที่ทิ้งไว้นานจนไม่สามารถเป็นตัวยึดเหนี่ยวกับชั้นผิวทางที่จะก่อสร้างใหม่ หรือลงบนรองผิวทางที่จะก่อสร้างผิวทางทับลงไป
----------------------------------------------------------------------

ข้อสอบ กว. ข้อ 11-20


ข้อ11 งานผิวทางจราจรแบบแอสฟัลต์คอนกรีตผสมร้อน ใช้ยางแอสฟัลต์ชนิดใด
1.    Cutback Asphalt
2.    Emulsified Asphalt
3.    Asphalt Cement
4.    Concrete Asphalt
แนวคิด    เรียกย่อว่า AC ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ จะเป็นส่วนที่ข้นและ
            หนักที่สุด ซึ่งก็จะมีหลายเกรดตามความอ่อน แข็ง ราคาถูก ยาง
            แอสฟัลท์ AC นั้นเป็นยางแข็งต้องให้ความร้อนถึงจะละลายเป็น
            ของเหลว ใช้ทำงานถนนเท่านั้น เช่น AC 60/70
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ12 การพ่นยางแอสฟัลต์ลงบนชั้นพื้นทาง ก่อนที่จะก่อสร้างชั้นผิวทางเรียกว่าอะไร
1.    Prime Coat
2.    Tack Coat
3.    Slurry Seal
4.    Fog Seal
แนวคิด
----------------------------------------------------------------------- 
ข้อ13 Rotary Power Broom หมายถึงเครื่องจักรชนิดใด
1.    เครื่องปูถนน
2.    เครื่องพ่นแอสฟัลด์
3.    เครื่องโรยหิน
4.    เครื่องกวาดฝุ่น
แนวคิด    Rotary Broom เป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่งเพื่องานโยธา ในงาน Road  Surfacing
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ14 ในการบำรุงทางเราใช้ Benkleman Beam วัดค่าอะไร
1.    วัดการแอนตัวของถนน
2.    วัดความแข็งแรงของถนน
3.    วัดการสึกหรอของผิวหน้าถนน
4.    วัดความฝืดของผิวถนน
แนวคิด    (BENKELMAN BEAM METHOD) เป็นวิธีการทดสอบเพื่อหาค่าการแอ่น หรือทรุดตัว (Deflection) ของผิวถนนแบบยืดหยุ่น (Flexible pavement) ในช่วงใด ๆ โดยใช้อุปกรณ์ Benkelman Rebound Test ตามมาตรฐานกรมทางหลวง (Deflection Measurement and Overlay Design Revised 1998) หรือ AASHTO T256
 -----------------------------------------------------------------------

ข้อ15 การทำ Overlay ในงานทางหมายถึงอะไร
1.    การอุดโพรงใต้พื้นถนน
2.    การป้องกันไม่ให้น้ำไหลลงใต้ผิวทาง
3.    การทำชั้นผิวทางทับผิวทางเดิม
4.    การตัดผิวทางที่สูงเกินไปออก
แนวคิด    การเททับหน้า (Overlay ) หมายถึง การเทวัสดุ ได้แก่ Asphaltic Concrete หรือคอนกรีตทับหน้าบนพื้นเดิมที่มีอยู่ มักนิยมใช้ซ่อมแซมผิวหน้าพื้นคอนกรีตเดิมที่สึกกร่อน เสียหาย หรือต้อง ซึ่งอยู่ในส่วนงาน การปรับปรุงผิวหน้าพื้นเดิมให้แข็งแกร่งขึ้นการบำรุงรักษาและการปรับปรุงถนน (Highway Maintenance & Rehabilitation)
 -----------------------------------------------------------------------

ข้อ16 โดยปกติผิวถนนลาดยางในข้อใดรับน้ำหนักได้ดีที่สุด
1.    Surface Treatment
2.    Asphalt Concrete
3.    Cape Seal
4.    Seal Coat
แนวคิด    ผิวทาง (Wearing Surface) เป็นผิวบนสุดของถนนทำหน้าที่รับน้ำหนักโดยตรงจากล้อรถซึ่งพื้นที่แรงกระทำเท่ากับพื้นที่สัมผัสระหว่างล้อรถกับผิวทาง ดังนั้นวัสดุที่ใช้ต้องมีคุณภาพดีแข็งแกร่ง ทนทาน เช่น Asphalt Concrete หรือหินบดอัดแน่นมียางแอสฟัลท์เป็นตัวยึดเกาะระหว่างผิวของก้อนหินและป้องกันน้ำไม่ให้ซึมผ่านผิวทางลงไปทำลายความแข็งแรงของถนน
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ17 การก่อสร้างถนนสายหนึ่ง สภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขา มีต้นไม้ใหญ่และทุ่งหญ้าปกคลุมในการก่อสร้างควรทำงานสิ่งใดก่อนเป็นอันดับแรก
1.    งานถางป่าและงานขุดตอ
2.    งานถมคันทาง
3.    งานตัดคันทาง
4.    งานวัสดุคัดเลือก
แนวคิด    ก่อนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นจะต้องการกำหนดเขตก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบก่อสร้างโดย งานถางป่าและงานขุดตอ ถือว่าเป็นการกำหนดเขตการก่อสร้างวิธีหนึ่ง และทำให้พื้นที่ก่อสร้างมีอุปสรรคหรือที่จะก่อให้เกิดปัญหาลดน้อยลงง่ายแก่การก่อสร้าง
 -----------------------------------------------------------------------

ข้อ18 ก่อนที่จะทำการก่อสร้างชั้นพื้นผิวทางจะต้องรีบทำการก่อสร้างในขั้นตอนใดเพื่อป้องกันมิให้ชั้นพื้นทางเกิดความเสียหาย
1.    การพ่นน้ำ
2.    Fog Spray
3.    Prime Coat
4.    Tack Coat
แนวคิด    Prime coat เป็นขั้นตอนหนึ่งในการก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน
มีหน้าที่ยึดเกาะหรือยึดเหนี่ยวชั้นพื้นทางกับชั้นผิวทางที่จะก่อสร้างการทำ Prime Coat ที่ดีต้องใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพที่สามารถแทรกซึมลงไปในชั้นพื้นทางได้ดีจนไม่มีวัสดุหลงเหลืออยู่บนผิวหน้าชั้นพื้นทางและต้องมีความสามารถในการแห้งตัว (Curing) โดยใช้เวลาไม่นานมากปัจจุบัน วัสดุหรือยางมะตอย (Asphalt Concrete) ที่มีการกำหนดให้ใช้สำหรับงาน Prime Coat ที่เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสหากรรม และมาตรฐานกรมทางหลวงนั้นคือ คัตแบกแอสฟัลต์ คือ MC-30, MC-70 และแอสฟัลต์อิมัลชัน คือ CSS-1 ซึ่งมีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน
-----------------------------------------------------------------------

ข้อ19 ข้อใดเป็นลักษณะของการแตกชำรุด(Cracking) ที่พบเห็นบนทางลาดยางทั่วไป มีสาเหตุเนื่องมาจากดินคันทางหรือพื้นทางอ่อนตัว เพราะการบดอัดไม่ดีทำให้ผิวทางทรุดตัวตามไปด้วย หรือเกิดจากอาการล้า (fatigue) ของผิวทาง
1.ผิวทางทรุดเป็นร่องตามแนวล้อ
2.     ทางชำรุดเนื่องจากแรงเฉือน
3.     ผิวทางแตกตามขวาง
4.     ผิวทางแตกลายหนังจระเข้
แนวคิด    รอยแตกระแหงแบบหนังจระเข้ (Alligator cracking) เป็นรอยแตกระแหงที่เชื่อมต่อกัน (ทั้งในทางขนาน และทางขวาง) เนื่องจากความล้า (Fatigue) ภายใต้น้ำหนักของการจราจรที่กระทำซ้ำ ๆ กัน รอยแตกจะเริ่มเกิดที่ผิวล่าง ซึ่งมีหน่วยแรงดึง (หรือความเค้นดึง) และความเครียดสูงสุดภายใต้น้ำหนักของล้อรถ รอยแตกจะขยายตัวลุกลามขึ้นมาปรากฏที่ผิวจราจร โดยมีลักษณะเป็นรอยที่ขนานกัน และเมื่อมีน้ำหนักการจราจรกระทำซ้ำ ๆ กัน รอยแตกเหล่านี้ก็จะเชื่อมต่อกันเกิดเป็นแผ่นเล็ก ๆ คล้ายลวดกรงไก่ หรือหนังจระเข้ 
-----------------------------------------------------------------------
 
ข้อ20 วิธีการซ่อมรอยแตกแบบหนังจระเข้ (Alligator crack) ลำดับแรกควรซ่อมอย่างไร
                1.    พ่น Tack Coat บริเวณผนังข้างหลุมทุกด้าน
                2.    กลบหลุมซ่อมด้วยวัสดุผสมแอสฟัลต์คอนกรีต
                3.    ขุดผิวทางและพื้นทางที่ชำรุดออก
                4.    จัดระบบการระบายน้ำใหม่
แนวคิด การปะซ่อม หมายถึง การบำรุงรักษาผิวทางที่แตกหรือเป็นหลุมบ่อด้วยวัสดุผสมแอสฟัลต์ เช่น Pre-mix ลักษณะความเสียหายของผิวทางที่ซ่อมโดยวิธีนี้ ได้แก่ ผิวทางที่แตกต่อเนื่องคล้ายหนังจระเข้ (Alligator Cracks) หรือแตกเนื่องจากการเลื่อนตัวของผิวลาดยาง (Slippage Cracks) หรือผิวทางที่เป็นหลุมบ่อ ซึ่งชำรุดเสียหายเฉพาะผิวทางเท่านั้น ไม่ลึกลงไปถึงชั้นโครงสร้าง ขั้นตอนการปะซ่อมผิว มีลำดับการดำเนินการดังนี้
1) ทำเครื่องหมาย เพื่อแสดงขอบเขตบริเวณที่จะทำการซ่อมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยม ผืนผ้าขนานกับแนวของถนน
2) ขุดผิวทางเดิมที่ชำรุดออก เก็บกวาดให้สะอาดด้วยไม้กวาดและทำให้แห้งด้วยเครื่องอัดเป่าลม(ถ้ามี)
3) ทำ Tack coat ก้นหลุมและขอบหลุม
4) ปูวัสดุ Pre-mix ลงในหลุมแล้วกวาดเกลี่ยให้ได้ระดับ
5) บดทับด้วยเครื่องบดอัดสั่นสะเทือน (Vibrating Plate Compactor) หรือรถบดขนาดเล็กจนได้ระดับใกล้เคียงกับผิวทางเดิม (โดยมีระดับสูงกว่าผิวทางเดิมเล็กน้อย เผื่อการยุบตัว)

----------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อสอบ กว. ข้อ 1-10

ข้อ1 ผิวทางที่ใช้วิธีการพ่นยางบางๆ ลงบนผิวทางเก่าแล้วโรยหิน มีความหนาประมาณ 10-20 มม. เรียกว่าอย่างไร
1.      ชิพซีล (Chip Seal)
2.      สเลอรี่ซีล (Slurry Seal)
3.      เซอร์เฟสทรีทเมนต์ (Surface Treatment)
4.      โคลด์มิกซ์ (Cold Mix)
แนวคิด    ชิพซีล (Chip Seal) คือผิวทางใช้วิธีการพ่นยางบางๆ ลงบนผิวทางเก่าแล้วโรยหิน มีความหนาประมาณ 10-20 มม.  เช่นเดียวกับวิธีเซอร์เฟสททรีเมนท์ เพื่อแต่งซ่อมผิวหน้าถนนเดิมวิธีชิพซีลนี้เป็นที่นิยมใช้ในงานซ่อมผิวทางที่มีรอยแตกทรุด เสียหายไม่มากนัก
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ2 ลักษณะของผิวทางที่ไม่สามารถทนต่อการผลักดันของล้อรถได้ เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างชั้นผิวหน้าและชั้นล่างไม่ดีพอ หรือส่วนผสมของผิวทางมีทรายมากเกินไป เรียกว่าอย่างไร
1.     Slippage crack
2.     Cracking
3.     Shrinkage crack
4.     Alligator crack         
แนวคิด    Slippage crack  สาเหตุเกิดจากการหดตัวของดินคันทาง และพื้นทางหรืออาจจะเนื่องมาจากส่วนผสมของหินและยางมะตอมในชั้นผิวทางที่มีหินขนาดเล็กอยู่มาก และยางมะตอมมีค่า Penetration ต่ำ ลักษณะการแตกเกิดแยกเป็นแผ่นขนาดใหญ่และมีมุมแหลม

-----------------------------------------------------------------------
ข้อ3 หลังจาก Prime Coat แล้วจะต้องทิ้งไว้ไม่น้อยกว่าเท่าใด จึงจะทำผิวทางได้
1.      6 ชม.
2.      12 ชม.
3.      24 ชม.
4.      48 ชม.
แนวคิด    หลังจากการลาดแอสฟัลท์ Prime Coat แล้วให้ทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง จึงจะทำผิวได้ และต้องทำผิวภายใน 1 เดือน หลังจากลาดแอสฟัลท์
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ4 ในการก่อสร้างผิวทางแบบ Cape Seal ก่อนที่จะทำการลาด Slurry จะต้องทำการในข้อใดก่อน
1.      พรมน้ำ
2.      Prime Coat
3.      Tack Coat
4.      Fog Spray 
แนวคิด    ดำเนินการฉาบผิวสเลอรีซีลทับบนผิวทางชั้นแรก สำหรับผิวทางชั้นแรกที่ก่อสร้างใหม่การฉาบผิวสเลอรีซีลทับ ควรดำเนินการภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 วัน และไม่มากกว่า 4 สัปดาห์ ฉะนั้นการลาดแอสฟัลท์อมัลชัน (Fog Spray) ควรดำเนินการภายในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนฉาบผิวสเลอรีซีล
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ5 ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ในการก่อสร้างผิวทางแบบ Double Surface Treatment ในชั้นที่ 2 จะต้องใช้หินขนาดเท่าใด

1.     1
2.     ¾”
3.     ½”
4.     3/8”              
แนวคิด    ผิวทางแบบเซอร์เฟสทรีตเมนต์สองชั้น (Double Surface Treatment) ชั้นที่หนึ่งให้ใช้ขนาด 19.0 มิลลิเมตร (3/4)  ชั้นที่สองให้ใช้ขนาด 9.5 มิลลิเมตร (3/8)
----------------------------------------------------------------------

ข้อ6 ในการปูผิวทางแบบแอสฟัลต์คอนกรีตผสมร้อน จะต้องมีอุณหภูมิไม่น้อยกว่าเท่าใด
1.    65 C
2.    95 C
3.    100C               
4.    120 C
แนวคิด    วัสดุแอสฟัลต์ผสมร้อน (Hot Mix Asphalt) หรือที่เรียกอย่างย่อว่า HMA ก็คือการหาสัดส่วนทีเหมาะสมระหว่างแอสฟัลต์ซีเมนต์กับมวลรวมเพื่อให้ได้แอสฟัลต์คอนกรีตจากการผสมร้อนที่มีคุณภาพดี สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุทำผิวทางของถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพและคงทนถาวรตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน
 ----------------------------------------------------------------------
ข้อ7 เหล็กที่ใส่ในรอยต่อตามขวางในผิวทางคอนกรีตเรียกว่าเหล็กอะไร
1.    Temperature Steel
2.    Reinforcement Steel
3.    Tie Bar
4.    Dowel Bar
แนวคิด    ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกระจายโมเมนต์หรือกระจายแรงของแผ่นพื้นในแต่ละแผ่นที่รับแรงไปสู่แผ่นข้างเคียงเพื่อช่วยในการรับน้ำหนัก และเพิ่อไม่ให้ความหนาของแผ่นพื้นมีขนาดหนาเกินไปโดยใช่เหตุ และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่ในการรับแรงเฉือนที่เกิดขึ้น (Shear Key) เพื่อพยุงให้เกิดการทรุดตัวในระดับเดียวกันจึงมีความสำคัญมากในงานถนน  และในส่วนที่ต้องใช้เป็นเหล็กกลมนั้นด้วยสาเหตุว่าแผ่นพื้นพวกนี้มีการขยายตัวหรือหดตัวตลอดเวลาเมื่ออุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงหรือขณะรับน้ำหนัก จึงต้องใช้เหล็กที่ไม่ต้องการให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างแผ่นพื้นข้างเคียงเพื่อป้องกันการแตกร้าว
----------------------------------------------------------------------
ข้อ8 รอยต่อใดที่จำเป็นต้องเว้นช่องว่างระหว่างแผ่นคอนกรีต
1.    Contraction Joint
2.    Expansion Joint
3.    Construction Joint
4.    Longitudinal Joint
แนวคิด    จุด joint มีไว้สำหรับรองรับการขยายตัวของคอนกรีต ป้องกันการแตกร้าวเนื่องจากแรงอัด จากอุณหภูมิลักษณะเป็นยาง หรือแผ่นยาง
----------------------------------------------------------------------
ข้อ9 เครื่องจักรกลงานดินชนิดใดที่เหมาะสมที่สุดในการปรับขึ้นรูปคันทางถนน
1.    Tractor
2.    Bullozer
3.    Grader
4.    Back Hoe
แนวคิด    
----------------------------------------------------------------------
ข้อ10 การ Overlay ในผิวทางแบบ Asphalt Concrete จัดว่าเป็นซ่อมบำรุงทางประเภทใด
1.    Routine Maintenance
2.    Periodic Maintenance
3.    Urgent Maintenance
4.    Special Maintenance
แนวคิด    การบำรุงรักษาตามคาบเวลา (Periodic Maintenance) การเปลี่ยนหรือบูรณะก่อนการเสียหายตามระยะเวลา (Time-Based Maintenance) การเปลี่ยนหรือบูรณะก่อนการเสียหายตามปริมาณการใช้งาน (Run-Based Maintenance) และการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Preventive Maintenance) หรือ การบำรุงรักษาตามสภาพ (Condition-Based Maintenance)
----------------------------------------------------------------------