ข้อ1 ผิวทางที่ใช้วิธีการพ่นยางบางๆ ลงบนผิวทางเก่าแล้วโรยหิน มีความหนาประมาณ 10-20 มม. เรียกว่าอย่างไร
1. ชิพซีล (Chip Seal)
2. สเลอรี่ซีล (Slurry Seal)
3. เซอร์เฟสทรีทเมนต์ (Surface Treatment)
4. โคลด์มิกซ์ (Cold Mix)
แนวคิด ชิพซีล (Chip Seal) คือผิวทางใช้วิธีการพ่นยางบางๆ ลงบนผิวทางเก่าแล้วโรยหิน มีความหนาประมาณ 10-20 มม. เช่นเดียวกับวิธีเซอร์เฟสททรีเมนท์ เพื่อแต่งซ่อมผิวหน้าถนนเดิมวิธีชิพซีลนี้เป็นที่นิยมใช้ในงานซ่อมผิวทางที่มีรอยแตกทรุด เสียหายไม่มากนัก
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ2 ลักษณะของผิวทางที่ไม่สามารถทนต่อการผลักดันของล้อรถได้ เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างชั้นผิวหน้าและชั้นล่างไม่ดีพอ หรือส่วนผสมของผิวทางมีทรายมากเกินไป เรียกว่าอย่างไร
1. Slippage crack
2. Cracking
3. Shrinkage crack
4. Alligator crack
แนวคิด Slippage crack สาเหตุเกิดจากการหดตัวของดินคันทาง และพื้นทางหรืออาจจะเนื่องมาจากส่วนผสมของหินและยางมะตอมในชั้นผิวทางที่มีหินขนาดเล็กอยู่มาก และยางมะตอมมีค่า Penetration ต่ำ ลักษณะการแตกเกิดแยกเป็นแผ่นขนาดใหญ่และมีมุมแหลม
-----------------------------------------------------------------------
ข้อ3 หลังจาก Prime Coat แล้วจะต้องทิ้งไว้ไม่น้อยกว่าเท่าใด จึงจะทำผิวทางได้
1. 6 ชม.
2. 12 ชม.
3. 24 ชม.
4. 48 ชม.
แนวคิด หลังจากการลาดแอสฟัลท์ Prime Coat แล้วให้ทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง จึงจะทำผิวได้ และต้องทำผิวภายใน 1 เดือน หลังจากลาดแอสฟัลท์-----------------------------------------------------------------------
ข้อ4 ในการก่อสร้างผิวทางแบบ Cape Seal ก่อนที่จะทำการลาด Slurry จะต้องทำการในข้อใดก่อน
1. พรมน้ำ
2. Prime Coat
3. Tack Coat
4. Fog Spray
แนวคิด ดำเนินการฉาบผิวสเลอรีซีลทับบนผิวทางชั้นแรก สำหรับผิวทางชั้นแรกที่ก่อสร้างใหม่การฉาบผิวสเลอรีซีลทับ ควรดำเนินการภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 วัน และไม่มากกว่า 4 สัปดาห์ ฉะนั้นการลาดแอสฟัลท์อมัลชัน (Fog Spray) ควรดำเนินการภายในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนฉาบผิวสเลอรีซีล-----------------------------------------------------------------------
ข้อ5 ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ในการก่อสร้างผิวทางแบบ Double Surface Treatment ในชั้นที่ 2 จะต้องใช้หินขนาดเท่าใด
1. 1”
2. ¾”
3. ½”
4. 3/8”
แนวคิด ผิวทางแบบเซอร์เฟสทรีตเมนต์สองชั้น (Double Surface Treatment) ชั้นที่หนึ่งให้ใช้ขนาด 19.0 มิลลิเมตร (3/4”) ชั้นที่สองให้ใช้ขนาด 9.5 มิลลิเมตร (3/8”)
----------------------------------------------------------------------
ข้อ6 ในการปูผิวทางแบบแอสฟัลต์คอนกรีตผสมร้อน จะต้องมีอุณหภูมิไม่น้อยกว่าเท่าใด
1. 65 C
2. 95 C
3. 100C
4. 120 C
แนวคิด วัสดุแอสฟัลต์ผสมร้อน (Hot Mix Asphalt) หรือที่เรียกอย่างย่อว่า HMA ก็คือการหาสัดส่วนทีเหมาะสมระหว่างแอสฟัลต์ซีเมนต์กับมวลรวมเพื่อให้ได้แอสฟัลต์คอนกรีตจากการผสมร้อนที่มีคุณภาพดี สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุทำผิวทางของถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพและคงทนถาวรตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน
----------------------------------------------------------------------
ข้อ7 เหล็กที่ใส่ในรอยต่อตามขวางในผิวทางคอนกรีตเรียกว่าเหล็กอะไร
1. Temperature Steel
2. Reinforcement Steel
3. Tie Bar
4. Dowel Bar
แนวคิด ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกระจายโมเมนต์หรือกระจายแรงของแผ่นพื้นในแต่ละแผ่นที่รับแรงไปสู่แผ่นข้างเคียงเพื่อช่วยในการรับน้ำหนัก และเพิ่อไม่ให้ความหนาของแผ่นพื้นมีขนาดหนาเกินไปโดยใช่เหตุ และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่ในการรับแรงเฉือนที่เกิดขึ้น (Shear Key) เพื่อพยุงให้เกิดการทรุดตัวในระดับเดียวกันจึงมีความสำคัญมากในงานถนน และในส่วนที่ต้องใช้เป็นเหล็กกลมนั้นด้วยสาเหตุว่าแผ่นพื้นพวกนี้มีการขยายตัวหรือหดตัวตลอดเวลาเมื่ออุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงหรือขณะรับน้ำหนัก จึงต้องใช้เหล็กที่ไม่ต้องการให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างแผ่นพื้นข้างเคียงเพื่อป้องกันการแตกร้าว
----------------------------------------------------------------------
ข้อ8 รอยต่อใดที่จำเป็นต้องเว้นช่องว่างระหว่างแผ่นคอนกรีต
1. Contraction Joint
2. Expansion Joint
3. Construction Joint
4. Longitudinal Joint
แนวคิด จุด joint มีไว้สำหรับรองรับการขยายตัวของคอนกรีต ป้องกันการแตกร้าวเนื่องจากแรงอัด จากอุณหภูมิลักษณะเป็นยาง หรือแผ่นยาง
----------------------------------------------------------------------
ข้อ9 เครื่องจักรกลงานดินชนิดใดที่เหมาะสมที่สุดในการปรับขึ้นรูปคันทางถนน
1. Tractor
2. Bullozer
3. Grader
4. Back Hoe
แนวคิด ----------------------------------------------------------------------
ข้อ10 การ Overlay ในผิวทางแบบ Asphalt Concrete จัดว่าเป็นซ่อมบำรุงทางประเภทใด
1. Routine Maintenance
2. Periodic Maintenance
3. Urgent Maintenance
4. Special Maintenance
แนวคิด การบำรุงรักษาตามคาบเวลา (Periodic Maintenance) การเปลี่ยนหรือบูรณะก่อนการเสียหายตามระยะเวลา (Time-Based Maintenance) การเปลี่ยนหรือบูรณะก่อนการเสียหายตามปริมาณการใช้งาน (Run-Based Maintenance) และการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Preventive Maintenance) หรือ การบำรุงรักษาตามสภาพ (Condition-Based Maintenance)
----------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น